ข้อความ(ไม่)ส่วนตัว

สิ่งหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำเวลาเดินทาง และโอกาสเอื้ออำนวย ก็คือการเขียนโปสการ์ดถึงตัวเอง

คนมักพูดถึงโปสการ์ดกับบทบาทการสื่อสารอันเนิบช้า

แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราลองคิดดูอีกที ช่องทางอันแสนโรแมนติคที่คนใช้ส่งสารถึงกันและกัน หรือแม้แต่ส่งสารถึงตัวเองนี้ ก็ยังมีสิ่งที่ควรครุ่นคิดถึงนั่นก็คือ ข้อความส่วนตัวเหล่านั้น มันก็มีความเป็นสาธารณะอยู่

ข้อความที่คุณอยากบอกใครสักคน อาจผ่านสายตามากกว่าหนึ่งคู่ ก่อนจะถึงมือคนที่คุณอยากบอก

ข้อความที่คุณอยากบอกตัวเอง อาจผ่านสายตาคนที่คุณไม่รู้ว่าใคร ทั้งไกลตัว และใกล้ตัว ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก

อโรคยา ปรมาลงพุง

ผมเชื่อว่า การลดน้ำหนักน่าจะเป็น New Year’s Resolutions ยอดนิยมติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้คนทั่วโลก

และผมคิดเอาเองว่า เหตุผลที่คนต้องการลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องรูปร่าง ก็เรื่องสุขภาพ

ตอนนี้ผมกำลังโดนทั้ง 2 เหตุผลรุมเร้าเข้าพร้อมๆกัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปซื้อกางเกงยีนส์ใหม่มา 1 หนึ่งเซ็ท ซึ่งปรากฏว่ามันก็เป็นกางเกงแบบเดิมๆที่ผมเคยซื้อมาใส่ กางเกงที่ผมเห็นว่าสวยๆ ไม่มีไซส์สำหรับคนร่างใหญ่เกินไปอย่างผม

แต่เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมต้องทบทวนเรื่องลดน้ำหนักอย่างจริงจังก็คือ ปัญหาเรื่องสุขภาพ

เมื่อราว 6 ปีก่อน ผมเคยมีปัญหาปวดหลังอย่างรุนแรง ขนาดที่ต้องเข้าโรงพยาบาลไปหาหมอ จนหมอสั่งให้พักฟื้น และทานยา พร้อมจัดท่านอนให้ถูกต้องอยู่เป็นสัปดาห์ถึงหาย ซึ่งครั้งนั้นเกิดจากการยกของหนักมากเกินไป

ครั้งนี้แตกต่างกัน ผมเริ่มปวดหลังเล็กน้อยมา 2-3 วัน ก่อนที่จะปวดค่อนข้างรุนแรงเมื่อวานนี้เอง

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ยกของหนัก ไม่ได้นอนท่าพิศดาร เมื่อพิจารณาแล้วจึงค่อนข้างมั่นใจน่าจะว่าเกิดจากน้ำหนักของตัวเอง

ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี น้ำหนักของผมค่อยๆแกว่งขึ้นเล็กน้อย ในช่วงที่มันแกว่งอยู่เป็นประจำ (110-115 kg.) จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง ที่ผมกลับไปชั่งแล้วพบว่าตัวเองหนักถึง 117 kg. ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมๆกับที่ผมเริ่มสังเกตตัวเองว่า พุงนั้นมันใหญ่เกินขนาดปกติขึ้นมา จนเป็นก้อนไขมันแข็งๆใหญ่ๆอย่างประหลาด

และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง อันเนื่องมาจากแบกน้ำหนักส่วนเกินไว้ด้านหน้า

ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ผมค่อยๆออกกำลังกายเบาๆเพื่อยืดกล้ามเนื้อส่วนหลัง (เพราะคิดว่าน่าจะแบกน้ำหนักไว้นานจนกล้ามเนื้อยึด และอักเสบ) พอได้ยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเจ็บและหายใจลำบาก แต่ก็ดีขึ้นเล็กน้อย ยิ่งหลังจากที่วันนี้ลองออกกำลังกายเบาๆแบบต่อเนื่องกว่า 15 นาทีก็พบว่า อาการเกร็งของหลังลดลง และตอนนี้สามารถนอนพลิกตัวไปมาได้สบายขึ้น

สุดสัปดาห์นี้ ผมกำลังจะเริ่มโปรเจ็คท์งานที่ยาวนานเกือบ 3 เดือน และมันจะหนักหนาสาหัสมาก หากร่างกายไม่พร้อม

สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือ เริ่มฝึกวินัยการออกกำลังกายให้กับตัวเอง ลดกาแฟ(ฮือ) ลดน้ำอัดลม(ฮือ) ทานอาหารค่ำให้เร็วขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ

สุดท้ายเมื่อร่างกายกำลังจะเล่นงานเราจริงๆแล้ว เราควรเล่นงานตัวเองเสียก่อน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับร่างกายตัวเอง

เอาล่ะ … วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปพักผ่อนละนะ!

เที่ยวเมืองไทย…ไม่ไป…ไม่รู้

วันนี้เจอเหตุการณ์ที่อยากบันทึกไว้ จะแชร์ facebook / instagram / twitter ก็ดูจะไปยาว มาเล่าในนี้ละกัน .. เริ่ม!

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกออฟฟิศ ทุกปีก็ต้องมีงานเลี้ยงปีใหม่เป็นเรื่องปกติ มนุษย์เงินเดือนในบริษัทเล็กๆอย่างผมก็ผ่านงานปีใหม่แบบไต่ระดับมาหลายรูปแบบ ทั้งพาไปร้านอาหารปกติ,ปิดห้องคาราโอเกะ หรือจัดทริปไปเที่ยวต่างจังหวัด(ช่วง2ปีก่อน กิจการที่ออฟฟิศดี)

แม้ปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่เจ้านายก็ไม่อยากให้ลูกน้องรู้สึกไม่ดี ก็เลยคิดว่า งั้นเลือกกึ่งกินอาหารกึ่งเที่ยวละกัน ด้วยการลงเอยที่ล่องเรือชมเจ้าพระยาทานบุฟเฟ่ต์นานาชาติ

บอกตรงๆว่าผมเคยล่องเรือมา 3-4 ครั้งแล้ว ตั้งแต่สมัยไปรับจ็อบช่วงเรียนมหา’ลัยจัดงานเลี้ยงให้ลูกค้า หรือตอนเจ้านายเก่าได้บัตรฟรีจากการไปช่วยถ่ายรายการท่องเที่ยว จนได้กินติดๆกัน 2-3 ครั้ง

เอาตรงๆว่าผมหมดความตื่นเต้นไปแล้ว และลืมไปแล้วว่าแม่งมีอะไรน่าสนใจ

ถ้าอยากชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พี่นั่งเรือโดยสารเงียบๆไปจะประหยัดกว่า เพราะเอาจริงๆแล้ว ไอ้เรือบุฟเฟ่ต์นี่ ถ้าคุณไม่ได้ที่นั่งริมแล้ว สุดท้ายความสนใจคุณก็พุ่งไปที่แค่อาหารนั่นแหละ (อันนี้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งสุดๆ)

แต่กลับมาคราวนี้เรือบุฟเฟ่ต์ทำให้ผมตกตะลึงตั้งแต่ระหว่างเรือกำลังเทียบท่า เหล่าพนักงานเสิร์ฟก็ออกมายืนบนดาดฟ้าเรียงหน้ากระดาน พร้อมเสียงประกาศต้อนรับนักท่องเที่ยว ก่อนที่เสียงดนตรีไทยจะดังกระหึ่มขึ้น พร้อมกับเหล่าพนักงานที่ฟ้อนกันอย่างพร้อมเพรียง

เชี่ย…. ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามาก นักท่องเที่ยวที่ยืนรอค่อยๆเข้าเทียบท่านี่กระหน่ำชัตเตอร์กันไม่ยั้ง ต่อให้เรือจะเลท จะช้า จะเทียบท่านานก็ไม่สนใจอะไรแล้ว

หมดความตื่นตะลึงแรกแล้ว อย่างอื่นก็ดูคล้ายบรรยากาศเดิมๆ เปิดด้วยโชว์รำไทย ก่อนจะเปิดไลน์บุฟเฟ่ต์อย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอย่างข้าพเจ้า เป็นคนแรกที่กลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยอาหารดีๆเด็ดๆเต็มจาน ก่อนจะรอคนซาแล้วค่อยไปตอดอย่างอื่นเติมให้อิ่ม

นี่แหละข้อดีของคนเคยมาแล้ว

แต่นอกนั้นก็ดูเดิมๆไม่มีอะไรใหม่ เป็นนักร้องเพลงสากลมาเอาใจนักท่องเที่ยวต่างชาติสลับกันไปทั้งชายหญิง

พอท้องเริ่มอิ่มแล้ว ผมถึงเริ่มสำรวจว่านอกจากกรุ๊ปบริษัทเราแล้ว มีคนไทยมาทานกันน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นพี่จีนครึ่งนึง และฝรั่งกับแขกรวมกันอีกครึ่ง

เรื่องที่อยากจะบันทึกไว้จริงๆ(แล้วที่มึงเล่าตั้งนานนี่ละ!)เกิดขึ้นในช่วงท้ายๆของหลังทุกคนทานอิ่มและไลน์บุฟเฟ่ต์ปิดแล้ว

ตอนนี้ทางเดินบนเรือกลายเป็นแดนซ์ฟลอร์ที่พวกพี่จีนและฝรั่งทะยอยกันมาโชว์สเต๊ปจนเกือบเต็มทางเดิน

จุดพีคมันอยู่ที่เหล่าพนักงานสาวในชุดไทย ที่เราเห็นรำกันชดช้อยอยู่ไกลๆตอนเรือเทียบท่า พวกเธอมาเสิร์ฟน้ำระหว่างทานข้าว พอเริ่มมาเก็บจานข้าวก็เริ่มชวนคุยยิ้มแย้ม ผงกหัวตามจังหวะดนตรีพองาม…

แต่พอแดนซ์ฟลอร์เปิดแบบจริงจัง พวกเธอไปลุกขึ้นมาชวนพี่จีนและฝรั่งแดนซ์กันกระจาย
น้องคนนึงถือแทรมโพลีนมาเคาะๆอยู่ตรงหัวโต๊ะผม ก่อนจะลากน้องคนนึงในออฟฟิศไปดวลสเต๊ปกันกลางฟลอร์ในชุดไทยสไบเฉียง!

เชี่ยยยยยย…พั้งค์ว่ะ!!!

ผมติดตามการออกสเต๊ปของนางๆไปเรื่อยๆ น้องผมยอมแพ้กลับมานั่งแล้ว พวกนางก็ยังคงชวนพี่จีนเต้นต่อไปเรื่อยๆ(ในชุดไทยสไบเฉียง) บางเพลงนี่เหมือนนัดแนะกันมา เกาะกลุ่มเรียงหน้ากระดานเต้นประหนึ่งหางเครื่องหญิงลีก็ไม่ปาน

ที่ฟินสุดๆของผมก็คือ ตอนเรือกำลังจะเข้าเทียบท่า หลังจบเพลงสากลเพลงสุดท้าย นักดนตรีก็บรรเลงค้างคาวกินกล้วย แล้วพวกนางก็นำขบวนนักท่องเที่ยวฟ้อนกันหน้าตาเฉย…

เชี่ย!!!! พั้งค์สัสๆๆๆๆๆๆ

ใจนึงผมก็กลับมาคิดว่า สุดท้ายแล้วการทำแบบนี้มันทำให้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มันเสียไปหรือเปล่า

สุดท้ายแล้วนักท่องเที่ยวได้อะไรกลับไป?
วิวแม่น้ำเจ้าพระยา? (มืดชิบ ถ่ายรูปยาก)
ดื่มด่ำกับอาหาร? (บุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีอาหารไทยอยู่แค่ 4-5 อย่าง)
ซาบซึ้งในวัฒนธรรม? (ถ้าไม่นับเพลงเปิดกับเพลงปิด บนเรือนี่มีแต่เพลงสากลล้วนๆ)

ในขณะที่ผมคิด ผมก็ได้เห็นแววตาของน้องพนักงานเสิร์ฟโต๊ะผม(ที่มาลากน้องผมไปเต้นนั่นแหละ)

ผมเชื่อในแววตาที่ผมเห็นว่า เธอคิดจริงๆว่าเธอกำลังทำให้คนอื่นมีความสุข
และการสร้างความสุขคืออาชีพของเธอ และเธอก็เป็นมืออาชีพเพียงำแ

ผมลองคิดว่า ถ้านี่คืออาชีพที่ทำให้เธอมีรายได้ เลี้ยงดูพ่อแม่พี่น้อง และเธอภาคภูมิใจที่จะทำมัน เธอก็คือคนทำงานมืออาชีพคนนึงนี่แหละ

ผมไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวจะได้อะไรกลับไปมั้ย แต่ผมคิดว่าในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เรามีคนทำงานมืออาชีพที่กำลังต่อสู้ชีวิตอยู่อีกมากมาย และถ้าเราไม่โลกสวยเกินไป บางครั้งพวกเขาก็ต้องการแค่สู้ชีวิตให้อยู่รอดไปได้

ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้จะมีสักกี่คนที่ใจสู้ และยิ้มสู้ผ่านมันไปได้

แต่อย่างน้อยการแสดงพั้งก์ๆในชุดไทยสไบเฉียงของพวกเธอหลายคนก็ปลุกให้คนไทยแบบผมยังอยากสู้ชีวิตต่อได้

ต่อให้ชีวิตมันจะพั้งก์ หรือจะพังสักแค่ไหนก็ตาม

image

New Year Resolutions 2016

ณ ขณะนี้ที่กำลังพิมพ์เรื่องนี้อยู่ ก็ก้าวเข้าสู่วันที่ 3 ของปี 2016 ไปแล้ว

เมื่อนาทีที่แล้ว ความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า พรุ่งนี้ควรเขียน New Year Resolutions ซะที
แล้วอีกความคิดก็แวบเข้ามาว่า มึงโหลดแอพไว้ในโทรศัพท์แล้วนิ ทำคืนนี้เลยสิว่ะ

เอาไงก็เอากัน New Year Resolutions ของข้าพเจ้าประจำปีนี้ได้แก่

1.อ่านหนังสือให้ได้ 18 เล่ม
2.ลดน้ำหนักให้ถึง 110 kg. ให้ได้
3.เดินทางไปต่างประเทศ
4.ทบทวนและเพิ่มเติมความรู้ภาษาอังกฤษอีกรอบ พยายามไปสอบวัดทักษะอะไรก็ได้สักหนึ่งครั้ง
5.เขียนบล็อกทุกเดือน เพื่อทบทวนความคิดตัวเอง ฝึกฝนการเล่า การเรียบเรียง เสริมสร้างจินตนาการ

เอาประมาณนี้ก่อนแล้วตั้งใจทำให้ได้ เหมือนที่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว

สู้ๆนะ!

This Year’s Resolutions

เอาจริงๆแล้ว ผมจำ New Year’s Resolutions ปีนี้ไม่ได้.

 

ค้นความทรงจำอันเลือนรางก็คาดว่า ปลายปีที่แล้วเป็นช่วงที่กำลังยุ่งชุลมุนกับการงานชิ้นใหญ่ จนไม่ได้วางแผนอะไรชีวิตปีนี้เลย

ดังนั้นปี 2015 ของผมจึงไม่มี New Year’s Resolutions (แหม…ก่อนหน้านั้นก็ใช่ว่าจะมี)

 

ถ้าให้คิดคร่าวๆว่า ปีทีผ่านมามีอะไรที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำบ้างคงประมาณนี้

  • อ่านหนังสือให้ได้ 15 เล่ม (จบที่ 13 เล่ม #ถือว่าดี)
  • ดูหนังให้มากขึ้น (ดูไป 52 เรื่อง,เฉลี่ยนสัปดาห์ละเรื่อง … เหยดดดด)
  • ไปเมืองนอกซะที #ยังไม่ได้ไปอีก

 

เอาจริงๆแล้วปีนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

 

ใจนึงก็พลางคิดว่า ที่ปีนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เป็นเพราะไม่ได้ตั้ง New Year’s Resolutions ไว้ หรือเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันกันแน่.

 

แต่ในใจก็คิดว่าเป็นเพราะเหตุผลหลังมากกว่า

 

เพราะฉะนั้นเมื่อวันสุดท้ายของปีนี้ ได้ลองย้อนกลับไปมองตัวเองในปีที่ผ่านมาแล้วก็คิดได้ว่า

สิ่งที่ควรตั้งใจทำที่สุดก็คือ การตั้งใจทำอะไรสักอย่างนี่แหละ

 

This Year’s Resolutions ของผมปีนี้ คือทบทวนตัวเอง / ตั้ง New Year’s Resoltions / และเอาจริงเอาจังกับมันสักที.

 

… เอาใจช่วยผมด้วยนะ 🙂

Space


นานแค่ไหน…ที่ผมลืมไปว่ายังมี”พื้นที่”ตรงนี้อยู่

ผมกำลังเฝ้ามองโปสการ์ดแผ่นนึง…

มันเป็นภาพการ์ตูนหญิง-ชายที่เอาไม้ขีดวงกลมลงบนพื้นรอบตัวเอง

บางส่วนของวงกลมทั้งสองวงทับซ้อนกัน เกิดเป็น”พื้นที่เล็กๆ”อยู่ตรงกลางระหว่างวงกลมทั้งสองวง

..ระหว่างคนทั้งสองคน

คำบรรยายของภาพนั้นเขียนไว้ว่า

“ณ พื้นที่นั้น ความรักเกิดขึ้น”

ผมไม่แน่ใจว่าทำไมผมเลือกซื้อโปสการ์ดแผ่นนี้มา

อาจเป็นเพราะว่า ผมคิดคล้ายๆกับภาพนั้นก็เป็นได้

วันนี้ผมจ้องมองไปที่ภาพนั้นอีกครั้ง

มองและคิดใคร่ครวญมันอีกที

แม้จะมีพื้นที่ของความรักเชื่อมกันอยู่ระหว่างกลาง

แต่ทั้งสองก็ยังต่างยืนอยู่ในวงกลมของตนเอง

วงกลมที่เปรียบเหมือนโลกของแต่ละคน

…โลกใบที่แตกต่างกัน

แม้จะมีพื้นที่ที่เชื่อมถึงกัน แต่ความจริงเราทั้งสองคนนั้น

ก็ยังต่างอยู่บนโลกของตัวเราเอง

และเพราะโลกของสองเรามีความต่าง ..มันจึงมีบ้าง ที่เราอาจไม่เข้าใจกัน

ผมไม่แน่ใจ ว่าคุณจะเข้าใจผมหรือเปล่า?

แต่โลกของเรา พื้นที่ที่เรามีนั้น …อาจมีไว้ให้กับเราพัก เรียนรู้ และทำความเข้าใจโลกอีกใบที่กำลังเชื่อมต่อกัน

และผมเชื่อว่าสักวัน… พื้นที่ตรงกลางระหว่างวงกลมสองวงนั้นจะกินพื้นที่มากขึ้น

วันนี้ผมจึงขอยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ใน”พื้นที่”ของตัวเองบ้าง

ในวันที่ความคิดที่แตกต่าง มันทำร้ายกันและกัน

ได้โปรดเชื่อเถอะว่า พื้นที่ของความรักนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไป

เมื่อเราผ่านมันไปได้ ..พื้นที่นั้นจะใหญ่ และใกล้ชิดกันขึ้นกว่าเดิม

แม้ผมจะไม่แน่ใจว่า คุณจะเข้าใจ…

แต่ขอให้เชื่อมั่นเถอะว่า…

สักวันหนึ่ง พื้นที่ทั้งหมดที่ผมมีนั้น

ผมจะขอมอบมัน

…ให้กับคุณ



…รักคุณ…

นักการ-เมือง



“ทุกคนล้วนอยากช่วยโลกกันทั้งนั้น
..แต่ไม่มีใครอยากช่วยแม่ล้างถ้วยชาม”

โดย P.J. O’ Rourke จาก All the trouble in the world

(Credit : นิ้วกลม)

.

.

ผมตั้งคำถามกับตัวเองขณะที่ก้าวเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วย
น้ำคลำว่า “ผมมาทำอะไรที่นี่?”

ผมว่า คนอื่นๆที่พบเจอผม หรือรู้ข่าวว่า
ผมออกไปร่วมทำความสะอาดกรุงเทพมหานครกับฝูงชน

ยังไม่สงสัยในเหตุผลที่ผมมาร่วม”มหกรรมทำความสะอาด”ครั้งนี้
เท่ากับตัวผมเองเลย

อาจจะเป็นเพราะบุคลิกเผินๆบางอย่างของผมก็เป็นได้
ที่ทำให้หลายคนคิดแบบนั้น

ใช่.. ผมชอบเมือง

ใช่.. ผมชอบงานอาสา

ใช่.. ผมชอบกรุงเทพมหานคร

แต่…ถ้าว่ากัีนตามจริตผมแล้ว ผมไม่ชอบงานอะไรที่เอิกเกริก
ฝูงชนเยอะแยะขวักไขว่

ยิ่งรู้ว่างานนี้จะเป็นงานที่มีสื่อมวลชนประโคมข่าวความรัก
เมืองหลวงของคนกรุงเทพฯกันอย่างมากมาย

ผม..ที่โดยสันดานรู้สึกว่า มันฉาบฉวยเกินไป
ยิ่งรู้สึกลังเลใจว่าจะไปงานนี้ดีหรือเปล่า?

ผมชอบที่เดินทางไปไกลๆ หาที่สงบๆที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
ไม่ค่อยมีสนใจ ไปหาอะไรทำนิดหน่อย

ไปด้วยกำลังอันน้อยนิด เพียงกลุ่มคนที่สนิทกัน
คนที่พร้อมจะเดินทางฝ่าความทุรกันดารไป

ผมนึกย้อนไปถึงสมัยมหาวิทยาลัยที่ผมไปช่วยเล่นดนตรีในวงของ
เพื่อนที่ชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครแห่งหนึ่ง

เมื่อเราเล่นดนตรีเสร็จ
เพื่อนผมนั่งลงแล้วปรับทุกข์ถึงสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ตรงหน้า

สิ่งที่พวกผมไม่เคยคิดว่า จะได้เห็นในกรุงเทพมหานคร

มันเป็นภาพของเด็กวัยประถมกรูกันเข้ามาฟังดนตรี เต้น
แย่งกันรับของเล่นที่หน่วยงานราชการนำมาแจก

ที่มองเผินๆก็อาจดูคล้ายเด็กแย่งของเล่นธรรมดาทั่วไป

..แต่พวกเรากลับรู้สึกได้จากแววตาของเด็กพวกนั้น

ว่าของเล่นแต่ละชิ้นที่เขาได้รับ
เพลงแต่ละเพลงที่พวกเขาได้ฟัง
มันมีความหมายกับเขาแค่ไหน

“กูสงสัยนะว่า ไอ้พวกเด็กมหาลัยที่ทำค่ายอาสาฯต่างจังหวัด
มันเคยหันมามองชุมชนแบบนี้ในกรุงเทพฯบ้างมั้ย?” เพื่อนผมเปรยขึ้น

“จะเสียเวลาไปทำให้คนต่างจังหวัดทำไมกันวะ?
ในเมื่อชุมชนที่อยู่ใกล้ๆพวกเรา มันยังแย่อยู่ขนาดนี้
แต่กลับไม่มีใครมาเหลียวแล แห่แต่จะออกต่างจังหวัดกันทั้งนั้น” มันพูดต่อ

ในวันนั้น ผมนึกค้านมันในใจ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร


ในวันนั้นผมมีก้อนความเชื่อที่ว่า ถ้าเราพัฒนาชนบทให้แข็งแรง
ให้เขายืนหยัดอยู่ได้ หยิบยื่นโอกาส แบ่งปันความเท่าเทียม
สักวันชนบทจะอยู่ได้

และนั่นอาจจะทำให้ปัญหาชุมชนแออัดใจกลางเมืองหลวงคลี่คลายลง

นั่นเป็นเหตุผล…ที่ผมไม่ค่อยใส่ใจกิจกรรมอาสาพัฒนาใน
กรุงเทพมหานครเท่าไหร่

..ผมคิดแคบๆไปเองว่า มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

แต่เพราะอะไรไม่รู้ ทำให้ผมสนใจที่ไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้

และก็ตามนิสัย(เสียๆ)ของผม
ทางเดียวที่จะรู้เหตุผลที่ค้างคาใจก็คือ ลองไปดูให้มันรู้ไปเลย…

และการไปครั้งนั้นเองก็ทำให้ผมได้รู้คำตอบ..

ขณะที่ผมก้มหน้าก้มตาตอนกวาดพื้นอยู่
พี่ๆกทม.เอาหัวฉีดมาฉีดน้ำไล่คราบสกปรก

ละอองน้ำกระทบแสงแดดเกิดเป็น”รุ้ง”ขึ้นมา
แว๊บนึง

ผมรู้สึกจริงๆว่า
ภาพๆนี้สวยมาก

แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจ

เพราะเมื่อผมเงยหน้ามา..
ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ ภาพที่ทุกคนร่วมมือกันทำความสะอาดกรุ
งเทพฯ

ผมรู้สึกจริงๆว่า.. ภาพนี้สวยกว่า

และนั่นก็ทำให้ผมได้คำตอบที่ค้างคาใจมาตลอดหลายวัน

ผมรู้แล้วว่า ผมอยากมาทำความสะอาดกรุงเทพฯเพราะอะไร

ความรู้สึกนั้นก็คงเหมือนกับคนที่ชอบเดินทาง…
ชอบออกไปให้ห่างจากความวุ่นวายของเมือง…

แต่ขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีที่ไหน
ที่จะทำให้เราสุขใจได้เท่ากับบ้านของเรา เท่ากับเมืองของเรา

ตอนที่เราเดินทางออกไปสถานที่แร้นแค้นทุรกันดาร ห่างออกไปหลายร้อยกิโลฯ

เราเห็นห้องเรียนเก่าๆ เรายังอยากช่วยกันปัดกวาด

เราเห็นสนามเด็กเล็กเสียหาย เรายังอยากช่วยกันซ่อมแซม

แล้วกับบ้านที่เราเกิด เมืองที่เราเติบโตเล่า…

เราจะไม่อยากช่วยอะไรเลยเชียวหรือ?

เวลาที่เราเป็นนิสิต นักศึกษา
เดินทางไปตามโรงเรียนทุรกันดารห่างไกล

เราก็เป็นได้เพียงผู้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น

เราอาจไปด้วยเจตนาดี สร้างสรรค์สิ่งดีต่างๆไว้ให้

แต่สุดท้ายก็จำเป็นที่จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่คอยเก็บกวาด
คอยทำให้ความสะอาดสถานที่แห่งนั้นให้สวยงาม

ก็เช่นเดียวกันกลับการมาเยือนของคนกลุ่มหนึ่ง
ที่มาพักอาศัยในเมืองของเรา

เขาอาจ(คิดเอาเองว่า)มีเจตนาดี..
ในขณะที่เราก็ประณามว่าเขาเจตนาร้าย

แต่ในความคิดผม สภาพบ้านเมืองในขณะนี้ มันมาไกลเกินกว่า
จะมานั่งประณามผู้ที่มีความแตกต่างทางความคิด
หรือชี้หน้าด่าว่าใครผิดใครถูก

สิ่งเดียวที่พวกเราพอจะทำให้พวกเขาเห็น รับรู้ และรู้สึกได้

คือแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่า
ไม่ว่าจะมีใครมาเยือน(ด้วยเจตนาดีหรือเจตนาร้าย)

แต่ถ้าพวกเขามาทำให้บ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราได้รับความ
เสีย
หาย

ก็ยังพร้อมที่จะมี”ใคร”ที่จะคอยเยียวยา
รักษา ซ่อมแซม และสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมาใหม่

และตอนนี้ เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ใคร”
ที่ผมกล่าวถึงนั้น มีจำนวนและพลังมากมายขนาดไหน

.

.

“มองดูรอบกาย.. มองดูสัีงคม สังคมโสมม..

เธอสุขอยู่ได้อย่างไร เมื่อผองชนทนทุกข์ยากลำเค็ญ…”

เธอวันนี้ – วงนางนวล

.

.

สุดดีแด่เหล่านักการ(ชั่วคราว)
และมหานครอันเป็นที่รักของเราทุกคน


บทส่งท้าย

พวกเรารวมตัวกัน
ก่อนที่จะร่ำลาแยกย้ายกันตรงสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ

ผมกำลังเงยหน้าขึ้นมองฟ้า และก็รู้ว่า
ใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็กำลังทำเช่นเดียวกัน

และผมเชื่อว่า เราคิดเหมือนกันว่า ฟ้ากลางเมืองวันนั้น
สวยงาม…

บางครั้งเหตุผลที่เราตัดสินใจทำอะไร หรือไม่ทำอะไร

…ก็มีได้มากกว่าเหตุผลเดียว

Credit : All Photos by NUT

อยากได้ยินว่ารักกัน(..รึเปล่า?)


"สิ่งที่ฉันไม่รู้.. สิ่งที่ฉันไม่ค่อยรู้
ก็หัวใจของคน..

อ่านหนังสือเล่มไหน วนเวียนวกวน..
แต่ไม่นานยังเข้าใจ..

บอกให้ฉันรับรู้ บอกกับฉันว่าไม่รัก..
ไม่ขอเป็นเพื่อนใจ..

แต่ถ้าฉันได้เห็นแววตาครั้งใด..
ไม่เหมือนคำที่พูดเลย

ใจคนเรายากเย็นเกินไป.. ไม่เห็นต้องทำให้ยากเลย
อย่างฉันก็ทำ ก็เป็นเหมือนอย่างเคย
บอกเลยจากใจว่า รักเธอ..

ปากเธอแข็งรู้ไหม แต่ว่าฉันก็รับไหว
ด้วยหัวใจที่รอ..

ได้แต่หวังสักครั้ง คำเดียวก็พอ
..อยากได้ยินว่ารักกัน"

———————————————————————–

อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่พาผมไปนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร

หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่อยู่ในสายตาผมเท่าไหร่

ผมไม่เคยเห็น Teaser หรือ Trailer ของหนังเรื่องนี้แม้แต่ครั้งเดียว

สิ่งที่ผมพอจะเห็นผ่านตาก็เพียงภาพโปสเตอร์ แบนเนอร์ โฆษณาตามที่ต่างๆ

สิ่งที่ผมพอจะฟังผ่านหูก็เพียงแค่ เพลง "อยากได้ยินว่ารักกัน" เวอร์ชั่นของ ดา เอนโดรฟิน (ซึ่งผมไม่ชอบเอาซะเลย)

แต่มันก็เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง..

ที่ทำให้ผมเลือกเดินไปตีตั๋วดูภาพยนตร์เรื่องนี้

ตามประสาคนชอบดูหนัง ผมจัดว่า หนังเรื่องนี้ก็ไม่ดีเด่อะไร ขาดๆเกินๆด้วยซ้ำไป

ขาด – น้ำหนักของบท ดูไม่น่าเชื่อถือ ดูไม่ค่อยเหตุผล

เกิน – จุดไคลแมกซ์ที่มากเกินไป เหมือนคนโดนหมัดฮุคๆซ้ำ มันก็จะชินชา และไม่รู้สึกอะไรไปเอง

ผมว่า หนังเรื่องนี้ตอกย้ำคำปรามาสหนังไทยที่ว่า "หนังไทยเป็นแค่มิวสิควิดีโอขนาดยาว" ได้เป็นอย่างดี

..แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คลุกคลีกับมิวสิควิดีโอไทยมานานอยู่

ถ้าพูดกันตรงๆ หนังเรื่องนี้ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ

คือเป็นหนังที่พอดูเพลินๆได้ แต่ไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรเท่าไหร่

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ…

ผมลบความรู้สึกนี้ออกไปจากหัวไม่ได้ซะที

"อยากได้ยินว่ารักกัน"

บางที.. เหตุผลเดียวที่ผมเลือกเข้าไปดู "อยากได้ยินว่ารักกัน"

อาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่

..อาจแค่เพราะผมเองก็ "อยากได้ยินว่ารักกัน"..

ก็เท่านั้น..

แต่ความจริงแล้ว..

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไง?

ไม่ว่าคำตอบจะคือ "รักกัน" หรือ "ไม่รักกัน"

ขอแค่มันออกจากปากเธอมาเท่านั้น

เท่านั้นก็พอ…

เรื่องนี้..ไม่มีภาพประกอบ

 

"ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…"

 

.

.

 

 

ผมแปลกใจที่ระยะหลังๆ ผมถ่ายภาพน้อยลงมาก… 

อาจจะเพราะด้วยความที่ยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองซะที ก็เลยรู้สึกไม่ชินมือ เวลาที่ยืมกล้องของคนอื่นมาใช้

แถมการหยิบยืมกล้องคนรอบข้าง ในวาระ โอกาสต่างๆกัน ก็กลับไม่ได้ใช้กล้องตัวเดียวซะด้วย

หลังๆผมก็เลยถ่ายรูปน้อยลงกว่า ตอนที่ยังมีกล้องที่เกือบจะเป็นของตัวเองอยู่ใกล้มือ

ทำให้เวลาที่ผมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ

ผมจึงเลือกที่จะมองผ่านกระบอกตาตัวเอง มากกว่ากระบอกเลนส์

 

 

 

บ่ายวันที่ 13 ธันวาคม 2552 ณ สวนลุมพินี

 

ผมไปดูงาน Bangkok International Street Show 2009
ในวันสุดท้ายของงาน ไปอย่างไม่ีมีอะไรติดไม้ติดมือ นอกจากโทรศัพท์มือถือ
กับกระเป๋าสตางค์

ผมพบกับพี่กิ๊บ รุ่นพี่ที่รู้จักกันผ่านการเดินทางหลายๆครั้ง  พี่กิ๊บมากับรุ่นน้องอีกคนชื่อ กิ๊บ

ทั้งสองกิ๊บ มีกล้องคล้องอยู่บนคอ ดูกิ๊บเก๋เอาการอยู่ทีเดียว

 

ผมมาดูงานแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่ีมีข้อมูลใดๆทั้งนั้น
เดินมาอาศัยจ้องแผนที่ไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อพบกับสูจิบัตรตารางการแสดงของพี่น้องสองกิ๊บ
ก็เลยอาศัยเกาะติดเป็นปลิงไปด้วยทีเดียว

 

ข้อดีของการเกาะติดผู้สูจิบัตรคือ เราจะสามารถเที่ยวชมงานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

แต่ข้อดีของการเกาะติดผู้ศึกษาสูจิบัตรและวางแผนการเที่ยวชมงานแล้วคือ เราจะไม่ต้องคิดอะไรต่อเลย เดินตามอย่างเดียว 555+

 

โชคดีมากที่พี่กิ๊บจัดแจงตารางโชว์
พร้อมแนะนำโชว์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงไว้เสร็จเรียบร้อยพอดี
ผมก็เลยได้อาศัยใบบุญด้วยการเกาะติดไปเท่านั้น
ไม่ต้องนั่งปวดหัววางแผนการชมอีกครั้ง

 

นักแสดงคนแรกที่ผมและพี่น้องสองกิ๊บ
สาวเท้าก้าวไปดูร่วมกันคือ Steven Groenen
นักแสดงผู้แสดงร่วมกับหุ่นมือจิตรกรสีขาว
ที่ลงทุนยอมหน้าเลอะสีด้วยการสะบัดฝีแปรงใส่หน้าตนเอง

การแสดงแบบ 1 คน 2 บุคลิก ทำให้ผมนึกถึงการแสดงของ Barbara Murata ที่มาแสดงเมื่อปีที่แล้ว

 

โชว์ถัดมาคือ Masashi OKUDA ซึ่งพอเห็นหน้าในสูจิบัตรก็พบว่า เป็นคนเดียวกับนักแสดงชาวญี่ปุ่นที่ทำให้ผมประทับใจสุดๆ เมื่อปีที่แล้ว

การแสดงของคุณ OKUDA เป็นการผสมผสานระหว่างละครใบ้ มายากล
และโชว์เล่นฟองสบู่ ที่ทำให้บรรยากาศในสวนลุมพินี
เปรียบเสมือนโลกแห่งความฝัน เด็กๆต่างพากันวิ่งไล่ฟองสบู่
ผู้ใหญ่ก็เอื้อมมือคว้าไปในอากาศ พร้อมด้วยประกายในแววตา
ที่พาย้อนกลับในวัยเด็กของตัวเองอีกครั้ง 

 

หลังจบการแสดงของ Masashi OKUDA
ผมเล่าให้พี่กิ๊บฟังเกี่ยวกับการแสดง 4 มิติเฉลิมพระเกียรติ ณ
พระที่นั่งอนันตสมาคม ที่ผมได้ไปชมมาเมื่อวันก่อน
ทำให้ทั้งพี่น้องสองกิ๊บตัดสินใจทิ้งผมไว้เดียวดายกับสูจิบัตรหนึ่งเล่ม
ให้เผชิญชะตากรรมในสวนลุมพินีต่อตามใจชอบ โดยย้ำไว้แค่ว่า

 

"Sivouplait ห้ามพลาด !!!" 

 

นั่นเป็นเหตุผลให้ในเวลา 1 ทุ่ม ผมมานั่งอยู่ที่เวที 3 เพื่อชมสามี-ภรรยาสุดเพี้ยนในชุดขาว 

 

การแสดงของ Sivouplait เป็นอะไรที่ simply the best
มากครับ ดูง่าย แต่สะกดอารมณ์ผู้ชมได้ชะงัด ซึ่งผมว่า
ไอ้ความเรียบง่ายแบบนี้แหละ ที่ความจริงแล้ว มันคงไม่ง่าย
สังเกตได้จากเม็ดเหงื่อที่อาบหน้าพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าพวกเขาจะใช้ผ้าซับไปกี่รอบก็ตาม…

 

การแสดงของ Sivouplait ในรอบที่ผมไปชม แบ่งออกเป็น 3 part ใหญ่ๆด้วยกันดังนี้ครับ

1.Soon – สองสามี-ภรรยายกป้ายขึ้นมาบอกว่า
การแสดงกำลังจะเริ่มต้นอีกสักครู่ แต่สิ่งที่พวกเขาทำกับคนดู
เปรียบเสมือนการละลายพฤติกรรม การจูนสัญญาณให้ตรงกัน
ระหว่างผู้ชมกับผู้แสดง 

2.Touch is – เ็ป็นการแสดงประกอบเพลงภาษาอังกฤษเพลงหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงสัมผัสแห่งรัก ที่ทำให้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป

3.Doubles – สำหรับผมแล้ว มันคือไคลแมกซ์ของการแสดงนี้
ผมว่ามันเป็นตลกร้ายอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า
คนดูคนอื่นๆจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า? 

 

ผมกลับบ้านในค่ำคืนวันนั้น ด้วยความสนุกสนาน และความประทับใจเต็มเปี่ยม.. 

แม้ไม่มีภาพถ่ายติดไม้ติดมือกลับบ้านเลยซักรูปเดียว 

 

 

 

ค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2552 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันตสมาคม 

 

รถสามล้อจอดเทียบริมถนนบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ 

"เข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วน้อง…" พี่คนขับร้องบอกผมและเพื่อน 

 

ผมหยิบแบงค์ยี่สิบสามใบเป็นค่าโดยสารให้พี่คนขับ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า

 

"อยากดูมากเลยเหรอวะ??" เพื่อนผมถาม

"โหย… มากๆอะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีแบบนี้อีก จะมาดูเก็บไว้เล่าอวดลูกอวดหลาน" ผมตอบพร้อมหยอดมุกตบท้าย

 

ผมนึกถึงเรื่องที่พี่ก้อง-ทรงกลดเขียนไว้ใน a day เล่ม 88
เกี่ยวกับในหลวง ที่เขียนบรรยายถึงความรู้สึกที่ครั้งนึง
พี่ก้องได้ไปร่วมอยู่ท่ามกลางมวลชนที่รอรับเสด็จพระองค์ท่าน
ผมอ่านแล้วก็มุ่งมั่นอยู่ในใจว่า สักวันนึง
ผมอยากไปยืนในบรรยากาศแบบนั้นบ้าง

 

นั่นเป็นหนึ่งในหลายๆเหตุผล ที่ทำให้ผมเดินทางมางานวันนี้

 

เราค่อยๆแทรกตัวจากท้ายขบวนขึ้นไปด้านหน้า
ถือเป็นเรื่องดีที่เรามากันแค่สองคน เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก
ไม่ต้องรอเกาะกลุ่มกันไป เหมือนกลุ่มใหญ่ๆที่มาด้วยกัน ถึงแม้เราจะมาช้า
จนเกือบจะเริ่มการแสดงแล้ว
แต่ผมกับเพื่อนก็ยังได้ที่นั่งที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

 

และแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น

 

เมื่อแสงไฟถูกฉายบนพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ทำให้ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้าง ตกตะลึงในความสวยงามของภาพๆนั้น

 

ผมมาพบในภายหลัง เมื่อชมภาพดังกล่าวจากโทรทัศน์ ว่า หลายๆครั้ง การออกไปเห็นด้วยตาตัวเอง คงจะดีกว่า

เพราะภาพที่ผมเห็นผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์นั้น เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมเห็นกับตาเลย แม้่แต่น้อย

 

ภาพแสงสีมากมายที่ฉายบนพระที่นั่งอนันตสมาคม

ภาพพลุไฟหลากหลายสี ที่พุ่งขึ้นมาหลังพระที่นั่งฯ

ภาพลำแสงที่ส่องสว่างจากพระที่นั่งฯ ก่อนจะกระจายออกเป็นรัศมี

รวมไปถึงการนั่งชมภาพกราฟฟิกต่างๆนานากับตาของตัวเอง,การ
นั่งชมภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ
ที่ทำให้ผมนั่งน้ำตาไหลกลางลานพระบรมรูปทรงม้า

แถมท้ายด้วยภาพอันซีนมากมายที่คุณไม่มีทางได้เห็นทางโทรทัศน์

 

เมื่อไฟถูกดับลง เพื่อให้ทุกคนได้จุดเทียนชัยถวายพระพร

ภาพคลื่นแสงเทียนจากมือมนุษย์เรือนหมื่นที่ค่อยๆลอยขึ้นในความมืด เป็นอีกภาพที่ทำให้ผมขนลุก น้ำตาไหล

 

เหนือสิ่งอื่นใด.. การยืนเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"
ท่ามกลางมวลชนที่กู่ร้องตะโกนพร้อมกัน
ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงพลังความจงรักภักดีที่มากมายมหาศาล

 

เพื่อนผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเหล่านั้นหลายครั้ง

แต่ผมไม่ได้ภาพเหล่านั้นกลับไป แม้แต่ภาพเดียว

 

 

..เพราะผมรู้ว่า ภาพทรงจำในค่ำคืนนั้น

ไม่มีทางที่ผมจะลืมเลือนมันไป

 

 

 

คืนวันที่ 3 ธันวาคม 2552

 

โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูหมายเลขโทร.เข้า พบว่า เป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้

ถึงแม้จะกำลังง่วนกับงานตรงหน้า แต่เป็นเพราะอะไรไม่รู้ ผมจึงรับโทรศัพท์สายนั้น

 

"สวัสดีครับ"

"หวัดดี พี่นุ้ย" เสียงคุ้นหูนั้นลอยมาตามสัญญาณโทรศัพท์

"ครับ" ผมกำลังนึกว่า เสียงคุ้นหูนั้นคือเสียงของใคร

"..จำกันไม่ได้แล้วหรอ?" แล้วผมก็ได้คำตอบ

..นั่นคือ เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาเกือบหนึ่งปีเต็ม

 

เจ้าของเสียงที่ปลายสาย โทร.มาชวนไปงานรับปริญญาของเธอ ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ถัดไป

ผมไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ บอกแต่เพียงว่า ถ้าไม่ติดอะไร
ก็น่าจะไปได้ แต่ก็ยังหวั่นๆตารางที่จะต้องไปทำงานต่างจังหวัดใกล้ๆวันนั้น
อาจจะทำให้ผมต้องเตรียมงานอยู่ที่ออฟฟิศก็เป็นได้

 

"ไปให้ได้นะ ..มาถ่ายรูปด้วยกัน" เธอย้ำหลายครั้ง ก่อนวางสาย

 

 

 

เช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2552 

 

ผมนั่งหาวอยู่บนรถประจำทางสาย 113 หัวลำโำพง – มีนบุรี

 

วันก่อนการเดินทาง
ผมโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทที่ผมมักจะอาศัยรถมันทุกครั้ง
เวลาที่จะต้องไปแสดงความยินดีกับรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาัลัย 

"กูไปไม่ได้วะ ต้องเฝ้าร้าน" คำตอบของมันทำให้ผมหัวปั่นกันเลยทีเดียว 

 

ความจริงแล้ว การเดินทางไปยัง มศว องครักษ์ในยุคนี้
ก็สะดวกสบายมากขึ้น มีรถตู้ให้คุณเลือกสรรจากทั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
และฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต แถมยังมีหลายวินอีกต่างหาก

ไม่เหมือนกับในยุคสมัยที่ผมเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ที่ทางเลือกดูจะมีน้อยกว่านี้หลายเท่าตัว

 

การเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับผม น่าจะเป็นการนั่งรถเมล์จากบ้านไปต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ

แต่จากประสบการณ์ของผม ผมไม่ควรเสี่ยงไปขึ้นรถตู้อนุสาวรีย์ชัยฯในวันนี้

เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความต้องการโดยสารคับคั่ง
รถตู้หลังคาต่ำเหล่านั้น จะปรับกลยุทธ์รับลูกค้า ด้วยการให้นั่ง 4 แถว
แถวละ 4 ท่าน โดยทันท่วงที

..ชายร่างใหญ่เยี่ยงผม ไม่ควรขึ้นไปผสมโรงอยู่บนนั้น

(ภายหลังรุ่นน้องผมมาแจ้งให้ทราบว่า ผมเดาพลาดไป

เพราะรถตู้คันที่น้องผมนั่งมา มันนับคนในแถวได้ 5 คนด้วยกัน !!!)

 

ผมโทรศัพท์หาเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งคาดว่า
มันต้องไปองครักษ์แน่ๆ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็คือ
มันเดินทางไปค้างคืนที่องครักษ์ตั้งแต่เย็นวันศุกร์แล้ว
มันจึงแนะนำให้ผมโทรศัพท์ไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งบ้านอยู่มีนบุรี

สรุปก็คือ เพื่อนคนนั้นขับรถไปคนเดียว ถ้าผมจะติดรถไปกับมัน ก็ต้องมาขึ้นที่บ้านมัน ..ซึ่งอยู่ราวคนละโลกกับบ้านผม

 

นั่นคือ เหตุผลที่ผมต้องมานั่งหาวอยู่บนรถสาย 113 หัวลำโพง – มีนบุรี

 

เป็นการเดินทางจากตลาดพลู สู่ตลาดมีนบุรี ที่ยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง

..เมื่อรวมเวลาจนถึงจุดหมายปลายทางที่องครักษ์ ผมก็เดินทางได้ราว 3 ชั่วโมงเศษ

 

ผมมาถึงองครักษ์ก็กดโทรศัพท์หาเพื่อน เพื่อรวมตัวรวมรุ่นกันซะก่อนที่จะเดินสายถ่ายภาพร่วมกับน้องๆ

..ผมถามเพื่อนว่า ความจริงแล้ว
เรามาถ่ายภาพรับปริญญากันทำไม?
เพราะเวลาที่เราไปถ่ายภาพแสดงความยินดีกับใคร
เราก็ไม่ค่อยจะได้เห็นภาพเหล่านั้นเท่าไหร่นัก

เพื่อนผมตอบมาว่า "เก็บไว้เป็นที่ระลึกไง"

ผมยืนนึกอยู่ในใจ หรือว่าบางที ภาพถ่ายมันก็อาจมีความหมายแค่นั้น?

 

 

ช่วงนี้ชีวิตผมแปลกๆ บางครั้งผมก็ตัดสินใจอะไรอย่างไม่ค่อยมีเหตุผล

หรือตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็หาเหตุผลอธิบายไม่ได้

รู้เพียงแค่ว่า อยากทำอะไรแบบนั้น

..แม้สุดท้ายมันจะทำให้ผมต้องมานั่งคิดหนักก็ตามที

 

ผมหาสาเหตุที่ผมไม่โทรศัพท์หาเธอไม่เจอ..

 

ผมเลือกที่จะเดินตามเพื่อน เพื่อนไปไหน ผมก็ไปที่นั่น เพื่อนถ่ายรูปกับรุ่นน้องคนไหน ผมก็ถ่ายกับรุ่นน้องคนนั้น

..แต่น่าแปลกใจที่ผมกับเพื่อน เดินไปเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอเํธอ

 

ในวินาทีหนึ่ง ผมคิดว่า ผมเห็นเธอ..

ฉับพลันนั้น เพื่อนผมก็ตะโกนเรียกผม ผมจึงเลือกที่จะหันหน้า และเดินไปหามัน

..และผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ผมไม่ได้มองกลับไปว่า ใช่เธอหรือเปล่า?

 

เสียงประกาศจากทางมหาวิทยาลัยเรียกให้บัณฑิตไปรายงานตัว เพื่อเข้าสู่หอประชุม

..โทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมแอบหวังอะไรบางอย่างก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

 

แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมหวัง

รุ่นน้องต่างคณะคนหนึ่งโทร.มาหาผม ให้ไปถ่ายภาพด้วย ก่อนที่จะทางมหาวิืทยาลัยจะกั้นทางเดินสำหรับบัณฑิต

..แต่เมื่อผมมองไปที่ไม้กั้น มันไม่ทันซะแล้ว

 

"พี่นุ้ย.." เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างกาย ทำให้ผมต้องหันไปหา

เธอยืนอยู่ตรงนั้น..

 

เธอพูดอะไรบางอย่างกับผม..

แต่มันสับสนเกินกว่าที่ผมจะตั้งใจฟัง พร้อมกับเสียงในสายโทรศัพท์ที่ดังกรอกหูอีกข้าง

 

เธอพูดเสร็จแล้วเดินจากไป.. แล้วหันกลับมามอง

 

..แต่ผมไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร

 

ผมวางสายแล้วทำอะไรไม่ถูก..

 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ผมหาสาเหตุไม่ได้.. 

ผมไม่รู้จริงๆว่า ทำไมผมจึงเลือกออกไปจากตรงนั้นทันที

โดยที่ไม่รอดูว่า เธออาจจะเดินกลับมา..

 

 

 

 

 

บ่ายวันที่ 12 ธันวาคม 2552 

 

ผมนั่งอยู่บนรถเมล์สาย 113 อย่างสับสน..

 

ผมไปที่องครักษ์ทำไม ?

 

ผมควรจะดีใจหรือเสียใจที่ไม่ได้ถ่ายภาพร่วมกับเํธอ ?

 

ในวินาทีที่ผมเดินจากมานั้น ..ผมกำลังคิดอะไร ?

 

..แต่มันไม่มีคำตอบ

 

ผมทำอะไรไม่ได้..

 

เพราะผมตัดสินใจไปแล้ว..

 

 

 

 

เช้าวันที่ 13 ธันวาคม 2552

 

โทรศัพท์ผมดังขึ้น มันเป็นเสียงสัญญาณข้อความที่ถูกส่งเข้ามา

 

ผมเปิดอ่านข้อความนั้น

 

"นี่เค้าจะไม่ได้ถ่ายรูปตอนรับปริญญากับพี่นุ้ยจริงๆเหรอ?"

 

ผมไม่รู้ว่า ผมจะตอบเธอยังไง?


 

 

สุดท้าย..

ผมพิมพ์ข้อความตอบเธอไป

 

 

"ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทส่งท้าย : คืนวันที่ 17 ธันวาคม 2552

 

ผมนั่งอยู่บนรถตู้จากภูเก็ตมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ

 

ผมไม่มีอะไรทำ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเข้า Facebook

 

เมื่อผมเปิดเข้าหน้า Facebook ของตัวเอง ผมก็พบว่า ตัวเองถูกติด Tag ในภาพถ่าย

 

ผมเปิดเข้าไปดูถ่ายภาพถ่ายนั้น

 

 

..มันเป็นรูปงานรับปริญญาของเธอ..

 

 

เป็นภาพของรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งที่ถ่ายภาพกับเธอ พร้อมเขียนข้อความด้านล่างไว้ว่า

 

"ดูสิ.. คนใส่แว่นกันแดดข้างหลังนั้น หน้าคุ้นๆนะ"

 

 

..ผมยืนอยู่ตรงนั้น..ข้างหลังเธอ..

 

 

 

และแล้วผมก็จำได้.. 

 

มันคือวินาทีที่ผมคิดว่าผมเห็นเธอ ..ก่อนที่ผมจะหันหน้าและเดินจากไปตามเสียงเรียกของเพื่อนผม

 

 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ผมหาเหตุผลไม่ได้

..แต่อย่างน้อยผมก็พูดได้ว่า ผมรู้สึกสบายใจ..

 

.

.

.

 

ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…

 

 

 

 

.

.

.

 

เพราะบางเรื่องราวก็ไม่สามารถบันทึกลงในภาพถ่ายได้…