"ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…"
.
.
ผมแปลกใจที่ระยะหลังๆ ผมถ่ายภาพน้อยลงมาก…
อาจจะเพราะด้วยความที่ยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองซะที ก็เลยรู้สึกไม่ชินมือ เวลาที่ยืมกล้องของคนอื่นมาใช้
แถมการหยิบยืมกล้องคนรอบข้าง ในวาระ โอกาสต่างๆกัน ก็กลับไม่ได้ใช้กล้องตัวเดียวซะด้วย
หลังๆผมก็เลยถ่ายรูปน้อยลงกว่า ตอนที่ยังมีกล้องที่เกือบจะเป็นของตัวเองอยู่ใกล้มือ
ทำให้เวลาที่ผมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
ผมจึงเลือกที่จะมองผ่านกระบอกตาตัวเอง มากกว่ากระบอกเลนส์
บ่ายวันที่ 13 ธันวาคม 2552 ณ สวนลุมพินี
ผมไปดูงาน Bangkok International Street Show 2009
ในวันสุดท้ายของงาน ไปอย่างไม่ีมีอะไรติดไม้ติดมือ นอกจากโทรศัพท์มือถือ
กับกระเป๋าสตางค์
ผมพบกับพี่กิ๊บ รุ่นพี่ที่รู้จักกันผ่านการเดินทางหลายๆครั้ง พี่กิ๊บมากับรุ่นน้องอีกคนชื่อ กิ๊บ
ทั้งสองกิ๊บ มีกล้องคล้องอยู่บนคอ ดูกิ๊บเก๋เอาการอยู่ทีเดียว
ผมมาดูงานแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่ีมีข้อมูลใดๆทั้งนั้น
เดินมาอาศัยจ้องแผนที่ไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อพบกับสูจิบัตรตารางการแสดงของพี่น้องสองกิ๊บ
ก็เลยอาศัยเกาะติดเป็นปลิงไปด้วยทีเดียว
ข้อดีของการเกาะติดผู้สูจิบัตรคือ เราจะสามารถเที่ยวชมงานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น
แต่ข้อดีของการเกาะติดผู้ศึกษาสูจิบัตรและวางแผนการเที่ยวชมงานแล้วคือ เราจะไม่ต้องคิดอะไรต่อเลย เดินตามอย่างเดียว 555+
โชคดีมากที่พี่กิ๊บจัดแจงตารางโชว์
พร้อมแนะนำโชว์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงไว้เสร็จเรียบร้อยพอดี
ผมก็เลยได้อาศัยใบบุญด้วยการเกาะติดไปเท่านั้น
ไม่ต้องนั่งปวดหัววางแผนการชมอีกครั้ง
นักแสดงคนแรกที่ผมและพี่น้องสองกิ๊บ
สาวเท้าก้าวไปดูร่วมกันคือ Steven Groenen
นักแสดงผู้แสดงร่วมกับหุ่นมือจิตรกรสีขาว
ที่ลงทุนยอมหน้าเลอะสีด้วยการสะบัดฝีแปรงใส่หน้าตนเอง
การแสดงแบบ 1 คน 2 บุคลิก ทำให้ผมนึกถึงการแสดงของ Barbara Murata ที่มาแสดงเมื่อปีที่แล้ว
โชว์ถัดมาคือ Masashi OKUDA ซึ่งพอเห็นหน้าในสูจิบัตรก็พบว่า เป็นคนเดียวกับนักแสดงชาวญี่ปุ่นที่ทำให้ผมประทับใจสุดๆ เมื่อปีที่แล้ว
การแสดงของคุณ OKUDA เป็นการผสมผสานระหว่างละครใบ้ มายากล
และโชว์เล่นฟองสบู่ ที่ทำให้บรรยากาศในสวนลุมพินี
เปรียบเสมือนโลกแห่งความฝัน เด็กๆต่างพากันวิ่งไล่ฟองสบู่
ผู้ใหญ่ก็เอื้อมมือคว้าไปในอากาศ พร้อมด้วยประกายในแววตา
ที่พาย้อนกลับในวัยเด็กของตัวเองอีกครั้ง
หลังจบการแสดงของ Masashi OKUDA
ผมเล่าให้พี่กิ๊บฟังเกี่ยวกับการแสดง 4 มิติเฉลิมพระเกียรติ ณ
พระที่นั่งอนันตสมาคม ที่ผมได้ไปชมมาเมื่อวันก่อน
ทำให้ทั้งพี่น้องสองกิ๊บตัดสินใจทิ้งผมไว้เดียวดายกับสูจิบัตรหนึ่งเล่ม
ให้เผชิญชะตากรรมในสวนลุมพินีต่อตามใจชอบ โดยย้ำไว้แค่ว่า
"Sivouplait ห้ามพลาด !!!"
นั่นเป็นเหตุผลให้ในเวลา 1 ทุ่ม ผมมานั่งอยู่ที่เวที 3 เพื่อชมสามี-ภรรยาสุดเพี้ยนในชุดขาว
การแสดงของ Sivouplait เป็นอะไรที่ simply the best
มากครับ ดูง่าย แต่สะกดอารมณ์ผู้ชมได้ชะงัด ซึ่งผมว่า
ไอ้ความเรียบง่ายแบบนี้แหละ ที่ความจริงแล้ว มันคงไม่ง่าย
สังเกตได้จากเม็ดเหงื่อที่อาบหน้าพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าพวกเขาจะใช้ผ้าซับไปกี่รอบก็ตาม…
การแสดงของ Sivouplait ในรอบที่ผมไปชม แบ่งออกเป็น 3 part ใหญ่ๆด้วยกันดังนี้ครับ
1.Soon – สองสามี-ภรรยายกป้ายขึ้นมาบอกว่า
การแสดงกำลังจะเริ่มต้นอีกสักครู่ แต่สิ่งที่พวกเขาทำกับคนดู
เปรียบเสมือนการละลายพฤติกรรม การจูนสัญญาณให้ตรงกัน
ระหว่างผู้ชมกับผู้แสดง
2.Touch is – เ็ป็นการแสดงประกอบเพลงภาษาอังกฤษเพลงหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงสัมผัสแห่งรัก ที่ทำให้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป
3.Doubles – สำหรับผมแล้ว มันคือไคลแมกซ์ของการแสดงนี้
ผมว่ามันเป็นตลกร้ายอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า
คนดูคนอื่นๆจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า?
ผมกลับบ้านในค่ำคืนวันนั้น ด้วยความสนุกสนาน และความประทับใจเต็มเปี่ยม..
แม้ไม่มีภาพถ่ายติดไม้ติดมือกลับบ้านเลยซักรูปเดียว
ค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2552 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันตสมาคม
รถสามล้อจอดเทียบริมถนนบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ
"เข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วน้อง…" พี่คนขับร้องบอกผมและเพื่อน
ผมหยิบแบงค์ยี่สิบสามใบเป็นค่าโดยสารให้พี่คนขับ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า
"อยากดูมากเลยเหรอวะ??" เพื่อนผมถาม
"โหย… มากๆอะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีแบบนี้อีก จะมาดูเก็บไว้เล่าอวดลูกอวดหลาน" ผมตอบพร้อมหยอดมุกตบท้าย
ผมนึกถึงเรื่องที่พี่ก้อง-ทรงกลดเขียนไว้ใน a day เล่ม 88
เกี่ยวกับในหลวง ที่เขียนบรรยายถึงความรู้สึกที่ครั้งนึง
พี่ก้องได้ไปร่วมอยู่ท่ามกลางมวลชนที่รอรับเสด็จพระองค์ท่าน
ผมอ่านแล้วก็มุ่งมั่นอยู่ในใจว่า สักวันนึง
ผมอยากไปยืนในบรรยากาศแบบนั้นบ้าง
นั่นเป็นหนึ่งในหลายๆเหตุผล ที่ทำให้ผมเดินทางมางานวันนี้
เราค่อยๆแทรกตัวจากท้ายขบวนขึ้นไปด้านหน้า
ถือเป็นเรื่องดีที่เรามากันแค่สองคน เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก
ไม่ต้องรอเกาะกลุ่มกันไป เหมือนกลุ่มใหญ่ๆที่มาด้วยกัน ถึงแม้เราจะมาช้า
จนเกือบจะเริ่มการแสดงแล้ว
แต่ผมกับเพื่อนก็ยังได้ที่นั่งที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
และแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น
เมื่อแสงไฟถูกฉายบนพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ทำให้ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้าง ตกตะลึงในความสวยงามของภาพๆนั้น
ผมมาพบในภายหลัง เมื่อชมภาพดังกล่าวจากโทรทัศน์ ว่า หลายๆครั้ง การออกไปเห็นด้วยตาตัวเอง คงจะดีกว่า
เพราะภาพที่ผมเห็นผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์นั้น เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมเห็นกับตาเลย แม้่แต่น้อย
ภาพแสงสีมากมายที่ฉายบนพระที่นั่งอนันตสมาคม
ภาพพลุไฟหลากหลายสี ที่พุ่งขึ้นมาหลังพระที่นั่งฯ
ภาพลำแสงที่ส่องสว่างจากพระที่นั่งฯ ก่อนจะกระจายออกเป็นรัศมี
รวมไปถึงการนั่งชมภาพกราฟฟิกต่างๆนานากับตาของตัวเอง,การ
นั่งชมภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ
ที่ทำให้ผมนั่งน้ำตาไหลกลางลานพระบรมรูปทรงม้า
แถมท้ายด้วยภาพอันซีนมากมายที่คุณไม่มีทางได้เห็นทางโทรทัศน์
เมื่อไฟถูกดับลง เพื่อให้ทุกคนได้จุดเทียนชัยถวายพระพร
ภาพคลื่นแสงเทียนจากมือมนุษย์เรือนหมื่นที่ค่อยๆลอยขึ้นในความมืด เป็นอีกภาพที่ทำให้ผมขนลุก น้ำตาไหล
เหนือสิ่งอื่นใด.. การยืนเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"
ท่ามกลางมวลชนที่กู่ร้องตะโกนพร้อมกัน
ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงพลังความจงรักภักดีที่มากมายมหาศาล
เพื่อนผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเหล่านั้นหลายครั้ง
แต่ผมไม่ได้ภาพเหล่านั้นกลับไป แม้แต่ภาพเดียว
..เพราะผมรู้ว่า ภาพทรงจำในค่ำคืนนั้น
ไม่มีทางที่ผมจะลืมเลือนมันไป
คืนวันที่ 3 ธันวาคม 2552
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูหมายเลขโทร.เข้า พบว่า เป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้
ถึงแม้จะกำลังง่วนกับงานตรงหน้า แต่เป็นเพราะอะไรไม่รู้ ผมจึงรับโทรศัพท์สายนั้น
"สวัสดีครับ"
"หวัดดี พี่นุ้ย" เสียงคุ้นหูนั้นลอยมาตามสัญญาณโทรศัพท์
"ครับ" ผมกำลังนึกว่า เสียงคุ้นหูนั้นคือเสียงของใคร
"..จำกันไม่ได้แล้วหรอ?" แล้วผมก็ได้คำตอบ
..นั่นคือ เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาเกือบหนึ่งปีเต็ม
เจ้าของเสียงที่ปลายสาย โทร.มาชวนไปงานรับปริญญาของเธอ ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ถัดไป
ผมไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ บอกแต่เพียงว่า ถ้าไม่ติดอะไร
ก็น่าจะไปได้ แต่ก็ยังหวั่นๆตารางที่จะต้องไปทำงานต่างจังหวัดใกล้ๆวันนั้น
อาจจะทำให้ผมต้องเตรียมงานอยู่ที่ออฟฟิศก็เป็นได้
"ไปให้ได้นะ ..มาถ่ายรูปด้วยกัน" เธอย้ำหลายครั้ง ก่อนวางสาย
เช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2552
ผมนั่งหาวอยู่บนรถประจำทางสาย 113 หัวลำโำพง – มีนบุรี
วันก่อนการเดินทาง
ผมโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทที่ผมมักจะอาศัยรถมันทุกครั้ง
เวลาที่จะต้องไปแสดงความยินดีกับรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาัลัย
"กูไปไม่ได้วะ ต้องเฝ้าร้าน" คำตอบของมันทำให้ผมหัวปั่นกันเลยทีเดียว
ความจริงแล้ว การเดินทางไปยัง มศว องครักษ์ในยุคนี้
ก็สะดวกสบายมากขึ้น มีรถตู้ให้คุณเลือกสรรจากทั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
และฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต แถมยังมีหลายวินอีกต่างหาก
ไม่เหมือนกับในยุคสมัยที่ผมเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ที่ทางเลือกดูจะมีน้อยกว่านี้หลายเท่าตัว
การเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับผม น่าจะเป็นการนั่งรถเมล์จากบ้านไปต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ
แต่จากประสบการณ์ของผม ผมไม่ควรเสี่ยงไปขึ้นรถตู้อนุสาวรีย์ชัยฯในวันนี้
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความต้องการโดยสารคับคั่ง
รถตู้หลังคาต่ำเหล่านั้น จะปรับกลยุทธ์รับลูกค้า ด้วยการให้นั่ง 4 แถว
แถวละ 4 ท่าน โดยทันท่วงที
..ชายร่างใหญ่เยี่ยงผม ไม่ควรขึ้นไปผสมโรงอยู่บนนั้น
(ภายหลังรุ่นน้องผมมาแจ้งให้ทราบว่า ผมเดาพลาดไป
เพราะรถตู้คันที่น้องผมนั่งมา มันนับคนในแถวได้ 5 คนด้วยกัน !!!)
ผมโทรศัพท์หาเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งคาดว่า
มันต้องไปองครักษ์แน่ๆ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็คือ
มันเดินทางไปค้างคืนที่องครักษ์ตั้งแต่เย็นวันศุกร์แล้ว
มันจึงแนะนำให้ผมโทรศัพท์ไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งบ้านอยู่มีนบุรี
สรุปก็คือ เพื่อนคนนั้นขับรถไปคนเดียว ถ้าผมจะติดรถไปกับมัน ก็ต้องมาขึ้นที่บ้านมัน ..ซึ่งอยู่ราวคนละโลกกับบ้านผม
นั่นคือ เหตุผลที่ผมต้องมานั่งหาวอยู่บนรถสาย 113 หัวลำโพง – มีนบุรี
เป็นการเดินทางจากตลาดพลู สู่ตลาดมีนบุรี ที่ยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง
..เมื่อรวมเวลาจนถึงจุดหมายปลายทางที่องครักษ์ ผมก็เดินทางได้ราว 3 ชั่วโมงเศษ
ผมมาถึงองครักษ์ก็กดโทรศัพท์หาเพื่อน เพื่อรวมตัวรวมรุ่นกันซะก่อนที่จะเดินสายถ่ายภาพร่วมกับน้องๆ
..ผมถามเพื่อนว่า ความจริงแล้ว
เรามาถ่ายภาพรับปริญญากันทำไม?
เพราะเวลาที่เราไปถ่ายภาพแสดงความยินดีกับใคร
เราก็ไม่ค่อยจะได้เห็นภาพเหล่านั้นเท่าไหร่นัก
เพื่อนผมตอบมาว่า "เก็บไว้เป็นที่ระลึกไง"
ผมยืนนึกอยู่ในใจ หรือว่าบางที ภาพถ่ายมันก็อาจมีความหมายแค่นั้น?
ช่วงนี้ชีวิตผมแปลกๆ บางครั้งผมก็ตัดสินใจอะไรอย่างไม่ค่อยมีเหตุผล
หรือตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็หาเหตุผลอธิบายไม่ได้
รู้เพียงแค่ว่า อยากทำอะไรแบบนั้น
..แม้สุดท้ายมันจะทำให้ผมต้องมานั่งคิดหนักก็ตามที
ผมหาสาเหตุที่ผมไม่โทรศัพท์หาเธอไม่เจอ..
ผมเลือกที่จะเดินตามเพื่อน เพื่อนไปไหน ผมก็ไปที่นั่น เพื่อนถ่ายรูปกับรุ่นน้องคนไหน ผมก็ถ่ายกับรุ่นน้องคนนั้น
..แต่น่าแปลกใจที่ผมกับเพื่อน เดินไปเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอเํธอ
ในวินาทีหนึ่ง ผมคิดว่า ผมเห็นเธอ..
ฉับพลันนั้น เพื่อนผมก็ตะโกนเรียกผม ผมจึงเลือกที่จะหันหน้า และเดินไปหามัน
..และผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ผมไม่ได้มองกลับไปว่า ใช่เธอหรือเปล่า?
เสียงประกาศจากทางมหาวิทยาลัยเรียกให้บัณฑิตไปรายงานตัว เพื่อเข้าสู่หอประชุม
..โทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมแอบหวังอะไรบางอย่างก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมหวัง
รุ่นน้องต่างคณะคนหนึ่งโทร.มาหาผม ให้ไปถ่ายภาพด้วย ก่อนที่จะทางมหาวิืทยาลัยจะกั้นทางเดินสำหรับบัณฑิต
..แต่เมื่อผมมองไปที่ไม้กั้น มันไม่ทันซะแล้ว
"พี่นุ้ย.." เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างกาย ทำให้ผมต้องหันไปหา
เธอยืนอยู่ตรงนั้น..
เธอพูดอะไรบางอย่างกับผม..
แต่มันสับสนเกินกว่าที่ผมจะตั้งใจฟัง พร้อมกับเสียงในสายโทรศัพท์ที่ดังกรอกหูอีกข้าง
เธอพูดเสร็จแล้วเดินจากไป.. แล้วหันกลับมามอง
..แต่ผมไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร
ผมวางสายแล้วทำอะไรไม่ถูก..
เป็นอีกครั้งที่ผมหาสาเหตุไม่ได้..
ผมไม่รู้จริงๆว่า ทำไมผมจึงเลือกออกไปจากตรงนั้นทันที
โดยที่ไม่รอดูว่า เธออาจจะเดินกลับมา..
บ่ายวันที่ 12 ธันวาคม 2552
ผมนั่งอยู่บนรถเมล์สาย 113 อย่างสับสน..
ผมไปที่องครักษ์ทำไม ?
ผมควรจะดีใจหรือเสียใจที่ไม่ได้ถ่ายภาพร่วมกับเํธอ ?
ในวินาทีที่ผมเดินจากมานั้น ..ผมกำลังคิดอะไร ?
..แต่มันไม่มีคำตอบ
ผมทำอะไรไม่ได้..
เพราะผมตัดสินใจไปแล้ว..
เช้าวันที่ 13 ธันวาคม 2552
โทรศัพท์ผมดังขึ้น มันเป็นเสียงสัญญาณข้อความที่ถูกส่งเข้ามา
ผมเปิดอ่านข้อความนั้น
"นี่เค้าจะไม่ได้ถ่ายรูปตอนรับปริญญากับพี่นุ้ยจริงๆเหรอ?"
ผมไม่รู้ว่า ผมจะตอบเธอยังไง?
สุดท้าย..
ผมพิมพ์ข้อความตอบเธอไป
"ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…"
บทส่งท้าย : คืนวันที่ 17 ธันวาคม 2552
ผมนั่งอยู่บนรถตู้จากภูเก็ตมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
ผมไม่มีอะไรทำ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเข้า Facebook
เมื่อผมเปิดเข้าหน้า Facebook ของตัวเอง ผมก็พบว่า ตัวเองถูกติด Tag ในภาพถ่าย
ผมเปิดเข้าไปดูถ่ายภาพถ่ายนั้น
..มันเป็นรูปงานรับปริญญาของเธอ..
เป็นภาพของรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งที่ถ่ายภาพกับเธอ พร้อมเขียนข้อความด้านล่างไว้ว่า
"ดูสิ.. คนใส่แว่นกันแดดข้างหลังนั้น หน้าคุ้นๆนะ"
..ผมยืนอยู่ตรงนั้น..ข้างหลังเธอ..
และแล้วผมก็จำได้..
มันคือวินาทีที่ผมคิดว่าผมเห็นเธอ ..ก่อนที่ผมจะหันหน้าและเดินจากไปตามเสียงเรียกของเพื่อนผม
เป็นอีกครั้งที่ผมหาเหตุผลไม่ได้
..แต่อย่างน้อยผมก็พูดได้ว่า ผมรู้สึกสบายใจ..
.
.
.
ถ้าเราไม่สามารถเก็บมันลงในภาพถ่ายได้ จงเก็บเอาไว้ในความทรงจำของเรา…
.
.
.
เพราะบางเรื่องราวก็ไม่สามารถบันทึกลงในภาพถ่ายได้…